จะเป็นเทรดเดอร์ที่เหมาะกับสไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างไร?
บทความในคราวนี้จะพูดถึงการจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จกับการจัดการชีวิตได้ดี เพราะมีเทรดเดอร์จำนวนมากที่ผูกติดชีวิตตนเองจดจ่ออยู่กับตลาดและหน้าจอเกินไปจนเกิดปัญหากระทบกับกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิต ในขณะที่มืออาชีพที่ทำงานในบริษัทจะมีชั่วโมงทำงานวันละ 5 – 6 ชั่วโมงแล้วไม่ต้องกังวลกับการซื้อขายหลังเลิกงาน แต่กับรายย่อยที่ซื้อขายที่บ้านอย่างมีอิสระ พวกเขาควรจะวางแผนจัดสรรการใช้ชีวิตอย่างไรดี?
เปรียบเทียบความคาดหวังกับความเป็นจริง
แม้คุณมีอิสระในฐานะเทรดเดอร์ในการตัดสินใจซื้อขายว่าจะซื้อขายเมื่อใดหรือที่ไหน แต่การซื้อขายบางรูปแบบอาจไม่มีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตนัก เช่นการซื้อขายรายวันอย่างรวดเร็วแบบเชิงรุกเพราะกรณีนี้คุณจำเป็นต้องสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการจัดการสถานะซื้อขายได้ทันต่อเวลา
เลือกเป็นเทรดเดอร์ซื้อขายเต็มเวลาหรือแค่แบบพาร์ทไทม์ดี?
การเลือกนี้ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น เงินทุน เวลาว่างสำหรับเรียนรู้เพิ่มเติม และรวมถึงคุณสามารถจัดสรรเวลาซื้อขายให้เข้ากับกิจกรรมอื่นในชีวิตได้ดีแค่ไหน
ให้ลองจินตนาการรูปแบบการใช้ชีวิตที่คุณอยากเป็นดู
ลองนั่งลงแล้วหลับตาจินตนาการดูให้ภาพปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัดโดยละเอียด เอาให้ถึงกับรู้สึกถึงกลิ่นและเสียงเลย แล้วถามตัวคุณเองว่าเห็นภาพตนเองกำลังท่องเที่ยว พบปะผู้คน หรือว่าเห็นตนเองนั่งอยู่หน้าจอซื้อขายกว่า 5 หน้าจอพร้อมวิวสวย ๆ นอกหน้าต่าง ? จินตนาการให้ละเอียดเพื่อรู้จักตัวเองให้ดี
- บุคลิกภาพแบบเก็บตัว (Introverts)
ต้องเข้าใจก่อนว่าคนมีบุคลิกภาพแบบนี้ไม่ได้ปลีกตัวออกจากสังคมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาแค่ชอบทำงานด้วยตนเองเพียงลำพังและไม่ต้องพึ่งพิงผู้อื่นในการตัดสินใจ เทรดเดอร์เหล่านี้มักทำงานได้ดีกับระบบซื้อขายที่ต้องมีการปลีกตัวทำงานอยู่พอสมควร ซึ่งถ้าภาพในหัวคุณคือการนั่งหน้าจอ คุณคือคนแบบนี้
- บุคลิกภาพแบบแสดงตัว (Extraverts)
คนเหล่านี้จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเพื่อรู้ข่าวสารความเป็นไปต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนความเห็น ซึ่งอันที่จริงคนมีบุคลิกภาพแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จเท่าใด เราแนะนำให้คุณจับกลุ่มย่อยเพื่อพูดคุยมุมมองก่อนตลาดเปิดซื้อขายเพื่อช่วยในการตัดสินใจของคุณ
เหตุผลกับสัญชาติญาณ
อีกหัวข้อหนึ่งที่เป็นที่ถกเถียงกัน ซึ่งในความเป็นจริงคนเราตัดสินใจโดยอาศัยทั้งสองอย่างรวมกัน แต่เทรดเดอร์ที่มีเหตุผลมักทำการวิจัยทางสถิติหรือวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้ดีกว่า (เพราะเป็นงานที่เป็นวิทยาศาสตร์กว่าศิลปะ) แต่ก็มักด้อยกว่าในการระบุรูปแบบกราฟและการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคที่ต้องอาศัยความเป็นศิลปะมากกว่า ดังนั้นหากรู้ตนเองว่ามีเหตุผลนำในการตัดสินใจ คุณควรซื้อขายหรือสร้างเครื่องมือที่ซื้อขายอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมจุดแข็งและลบจุดอ่อนของตนเอง และสำหรับเทรดเดอร์ที่ตัดสินใจจากสัญชาติญาณได้ดีกว่าก็ทำตรงกันข้ามคือมุ่งฝึกฝนที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นสำคัญ
การเลือกช่วงระยะเวลาซื้อขาย
คุณจำเป็นต้องดูลักษณะของเทรดเดอร์ซื้อขายที่เลือกนั้นเหมาะกับเวลาท้องถิ่นของคุณและสามารถอยู่หน้าจอพร้อมซื้อขายในเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ เช่น หากอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ก็ยากที่จะซื้อขายในช่วงที่ตลาดเปิดทำการในเวลาของสหรัฐอเมริกา หรือหากมีเด็กต้องดูแลที่บ้านก็ไม่เหมาะจะซื้อขายแบบเชิงรุกหรือแบบรวดเร็ว สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ทำงานประจำช่วงกลางวัน การซื้อขายระยะกลางหรือยาวหรือซื้อขายด้วยเงื่อนไขอย่างมีระบบจะเหมาะสมสุด
คุณควรรู้สึกดีเมื่อเป็นเทรดเดอร์ อย่าลืมข้อนี้
การซื้อขายนั้นนำมาซึ่งความสุขตราบที่คุณยังรู้สึกดีอยู่ แต่การที่จะสามารถอดทนต่อความผันผวนในตลาดและรับขาดทุนได้นั้นคุณต้องมีพลังใจและยังมองโลกในแง่ดีได้ ดังนั้นการซื้อขายควรนำมาซึ่งแรงบันดาลใจและความสุข และคุณต้องเรียนรู้ที่จะรักษาทัศนคติแบบนี้ไว้ให้มีพลังเชิงบวกต่อไปให้ได้
อารมณ์อาจแปรปรวนตามราคาที่ปรวนแปร
สองเรื่องนี้ควรแยกจากกัน อย่าเอาอารมณ์ดีใจเสียใจไปผูกติดกับผลกำไรขาดทุน เทรดเดอร์มืออาชีพจะฝึกตนให้ไม่ยินดียินร้ายกับราคาที่แปรปรวนเลย
เมื่อการซื้อขายไม่ใช่แค่การซื้อขาย และทางแก้หากคุณรู้สึกอารมณ์แปรปรวนไปตามราคาและผลกำไรขาดทุน
ให้ลดขนาดคำสั่งซื้อขายลงเพื่อลดความกังวล ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้สำรวจตัวเองว่านอกจากเงินแล้วตนเองต้องการอะไรจากการซื้อขายอีก บางคนนอกจากกำไรแล้วที่ต้องการคือการพิสูจน์ว่าตนเองถูกเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยล้าจากการซื้อขาย หากคุณค้นให้เจอยิ่งเร็วเท่าใดว่าต้องการอะไรนอกจากกำไรในการซื้อขายและอิสรภาพแล้ว คุณก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นเทรดเดอร์ที่สร้างระบบซื้อขายที่ดีและลดอิทธิพลจากราคาที่ส่งผลต่อความแปรปรวนของอารมณ์ของคุณได้เร็วเท่านั้น
ที่มา : Exness
Comments are closed.